ประเภทของบัตร RFID มีอะไรบ้าง?

บัตรพลาสติก PVC มีกี่ประเภท

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บัตร RFID: คลื่นความถี่และการประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน

ในโลกยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว ระบบระบุเอกลักษณ์ด้วยคลื่นวิทยุ หรือ RFID (Radio Frequency Identification) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกสบายและเพิ่มประสิทธิภาพในหลากหลายด้าน บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเภทของคลื่นความถี่ที่บัตร RFID ใช้ และตัวอย่างการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมต่างๆ

บัตร RFID ทำงานอย่างไร?

RFID เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์สองส่วนหลักคือ:

  • แท็ก RFID (RFID Tag): ประกอบด้วยชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ขนาดเล็กและเสาอากาศสำหรับรับและส่งสัญญาณ ซึ่งภายในชิปจะเก็บข้อมูลเฉพาะของวัตถุหรือบุคคลนั้นๆ
  • เครื่องอ่าน RFID (RFID Reader / Interrogator): ทำหน้าที่ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นให้แท็ก RFID ตอบกลับข้อมูล และรับข้อมูลจากแท็ก

เมื่อแท็ก RFID ได้รับสัญญาณจากเครื่องอ่าน แท็กจะส่งข้อมูลที่เก็บไว้กลับไปยังเครื่องอ่าน ซึ่งข้อมูลนี้สามารถนำไปประมวลผลต่อได้

คลื่นความถี่ของบัตร RFID

บัตร RFID มีการใช้งานในคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละคลื่นความถี่ก็มีคุณสมบัติและข้อจำกัดที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป โดยหลักๆ แล้วจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้:

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1. คลื่นความถี่ต่ำ (Low Frequency - LF RFID)

  • ช่วงความถี่: 30 kHz - 300 kHz โดยทั่วไปนิยมใช้ที่ 125 kHz และ 134 kHz
  • ระยะการอ่าน: สั้นมาก ประมาณ 10 เซนติเมตร
  • ความสามารถในการทะลุทะลวง: สูง สามารถทะลุผ่านน้ำและโลหะได้ดีกว่าคลื่นความถี่สูง
  • ความเร็วในการอ่าน: ช้า
  • ข้อจำกัด: มีความจุข้อมูลน้อย
  • การประยุกต์ใช้งาน:
    • การติดตามปศุสัตว์: ใช้สำหรับติดแท็กที่สัตว์เพื่อระบุตัวตนและติดตามข้อมูลสุขภาพ
    • ระบบควบคุมการเข้าออก (Access Control): บัตรผ่านเข้าอาคาร หรือประตูอัตโนมัติ
    • ระบบกุญแจรถยนต์แบบไม่ต้องใช้กุญแจ (Key Fobs)
    • การจัดการขยะ

2. คลื่นความถี่สูง (High Frequency - HF RFID)

  • ช่วงความถี่: 3 MHz - 30 MHz โดยทั่วไปนิยมใช้ที่ 13.56 MHz
  • ระยะการอ่าน: ปานกลาง ประมาณ 10 เซนติเมตร - 1 เมตร
  • ความสามารถในการทะลุทะลวง: ปานกลาง สามารถทะลุผ่านน้ำได้บางส่วน แต่ยังคงมีข้อจำกัดกับโลหะบางประเภท
  • ความเร็วในการอ่าน: ปานกลาง
  • ข้อจำกัด: อาจมีปัญหาในการอ่านหลายแท็กพร้อมกัน
  • การประยุกต์ใช้งาน:
    • บัตรชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment Cards): เช่น บัตรเครดิต, บัตรเดบิต ที่รองรับ NFC (Near Field Communication) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี HF RFID
    • บัตรโดยสารสาธารณะ: เช่น บัตร BTS, MRT
    • บัตรห้องสมุด: ใช้ในการยืม-คืนหนังสือ
    • พาสปอร์ตอิเล็กทรอนิกส์ (e-Passport)
    • การติดตามทรัพย์สิน (Asset Tracking)

3. คลื่นความถี่สูงยิ่ง (Ultra-High Frequency - UHF RFID)

  • ช่วงความถี่: 300 MHz - 3 GHz โดยทั่วไปนิยมใช้ในช่วง 860-960 MHz (ในประเทศไทยกำหนดที่ 920-925 MHz)
  • ระยะการอ่าน: ยาว สามารถอ่านได้ไกลถึงหลายเมตร (ขึ้นอยู่กับกำลังส่งของเครื่องอ่านและประเภทของแท็ก)
  • ความสามารถในการทะลุทะลวง: ต่ำกว่าคลื่นความถี่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้ำและโลหะ (แต่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้ดีขึ้น)
  • ความเร็วในการอ่าน: รวดเร็ว สามารถอ่านแท็กจำนวนมากพร้อมกันได้ (Bulk Reading)
  • ข้อจำกัด: ไวต่อการรบกวนจากสภาพแวดล้อม เช่น น้ำและโลหะ
  • การประยุกต์ใช้งาน:
    • การจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง (Warehouse and Inventory Management): ตรวจสอบสต็อกสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    • การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management): ติดตามสินค้าตั้งแต่การผลิตจนถึงมือผู้บริโภค
    • การควบคุมการจราจรและระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (Traffic Control and Electronic Toll Collection)
    • การติดตามสัมภาระในสนามบิน
    • การติดตามเครื่องมือและอุปกรณ์
    • ระบบจัดการขยะอัจฉริยะ
    • การจัดการทรัพย์สินในโรงพยาบาล

การนำไปใช้งานในประเทศไทย

ในประเทศไทย เทคโนโลยี RFID ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายภาคส่วน:

  • ภาคการผลิตและคลังสินค้า: ใช้ในการจัดการสินค้าคงคลัง การติดตามกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการคลังสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์
  • ค้าปลีก: ใช้ในการบริหารจัดการสต็อกสินค้า ลดการสูญหายของสินค้า และเพิ่มความรวดเร็วในการเช็คสต็อก
  • การขนส่งและโลจิสติกส์: การติดตามตำแหน่งและสถานะของสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน การจัดการยานพาหนะ และระบบเก็บค่าผ่านทาง
  • สาธารณสุข: การติดตามผู้ป่วย อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  • เกษตรกรรม: การติดตามปศุสัตว์ การจัดการข้อมูลสัตว์ และการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
  • ระบบควบคุมการเข้าออก: บัตรพนักงาน บัตรนักศึกษา และระบบรักษาความปลอดภัยในอาคารต่างๆ
  • ห้องสมุด: การจัดการหนังสือและสื่อการเรียนรู้ เพื่อความสะดวกในการยืม-คืน และการตรวจสอบสถานะ